รู้หรือไม่ ว่า เจ้าของเลย์ คือ เป๊ปซี่
หากซื้อมันฝรั่งทอดกรอบ เลย์ มากิน เมื่อพลิกหลังซองจะเห็นชื่อบริษัทที่ผลิต โดยจะเขียนว่าผลิตโดย บริษัท เป๊บซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง จำกัด นะคะ ซึ่งสรุปแล้ว เลย์ กับ เป๊ปซี่ ที่แท้เป็นเจ้าของเดียวกันนั่นเองค่ะ
จริงๆแล้ว บริษัท PepsiCo เกิดจากการควบรวมกันระหว่าง Pepsi-Cola และ Frito-Lay ในปี 1965 ซึ่งต่อมาได้ขยายสินค้าในเครือมากมาย เช่น เมาเทนดิว เกเตอเรด เซเว่นอัพ มิรินด้า ลิปตัน ชีโตส โดริโทส เป็นต้น แต่คู่หูที่เป็นเสาหลักคือ เป๊ปซี่ และ เลย์
PepsiCo ถือเป็นบริษัทอาหารและเครื่องดื่ม ที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจาก Nestle โดยมีทั้งหมด 22 Brand ในเครือ แต่ละ Brand มีรายได้เกินกว่า $1,000 ล้าน ใน 200 ประเทศทั่วโลกอีกด้วยนะคะ
ในปี 2559 บริษัทมีรายได้รวม $63,000 ล้าน (2.1 ล้านล้านบาท) และกำไร $6,300 ล้าน (2.1 แสนล้านบาท)กันเลยนะคะ
สำหรับในไทย บริษัท เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง เป็นผู้ผลิต จำหน่าย หรือนำเข้า เครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว ของ PepsiCo รวมทั้งยี่ห้ออื่นๆด้วย
ส่วนแบ่งตลาด เลย์ และ เป๊ปซี่ ในไทยเป็นอย่างไรมาลองดูกันค่ะ
ตลาดขนมขบเคี้ยวไทยปี 2559 มีมูลค่า 39,587 ล้านบาท โดย
– เลย์ มีส่วนแบ่งมากที่สุด 18%
– รองลงมาเป็น สาหร่ายเถ้าแก่น้อย 8%
– ทาโร่ 6%
– และเทสโต 5%
ตลาดน้ำอัดลมไทยปี 2558 มีมูลค่า 63,910 ล้านบาท โดย
– โค้กที่ 36%
– เป๊ปซี่ 17% เป็นอันดับ 2
– เอสโคล่าอยู่ที่ 10%
รายได้ของ เป๊ปซี่-โคล่า (ไทย) เทรดดิ้ง
ปี 2555 รายได้ 13,134 ล้านบาท กำไร 1,781 ล้านบาท
ปี 2556 รายได้ 18,148 ล้านบาท กำไร 753 ล้านบาท
ปี 2557 รายได้ 20,475 ล้านบาท กำไร 175 ล้านบาท
ปี 2558 รายได้ 21,316 ล้านบาท กำไร 306 ล้านบาท
ปี 2559 รายได้ 22,597 ล้านบาท กำไร 896 ล้านบาท
โดยล่าสุดบริษัทมีทรัพย์สินรวม 14,308 ล้านบาท (ข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า)
จากข้อมูล จะเห็นว่า รายได้บริษัทสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่กำไรวูบลงไปพักหนึ่ง อาจเป็นเพราะเมื่อปี 2555 บริษัทมีนโยบายที่จะดำเนินธุรกิจการผลิต และจัดจำหน่ายเป๊ปซี่เอง จึงได้ยกเลิกสัญญากับ บริษัทเสริมสุข ที่เป็น Partner กันมาอย่างยาวนานเกือบ 60 ปี ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่าย และใช้เวลาพักใหญ่ในการลงทุนโรงงาน เพื่อผลิตสินค้าสู่ตลาด
ต่อมาบริษัทได้ใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า Power of One ในการร่วมกันทำตลาด ระหว่างขนมและเครื่องดื่มในเครือ เช่นจับคู่ เลย์-เป๊ปซี่ จึงอาจจะใช้จ่ายได้คุ้มค่ามากขึ้น ไม่สิ้นเปลือง โฆษณาไปเลยทีเดียว เกิดเป็น Synergy และผลประกอบการดีขึ้นนั่นเองค่ะ
หากจะประเมินความใหญ่โตของบริษัทนี้แล้ว ถ้าหากบริษัทนี้อยู่ใน SET จะมีรายได้สูงเป็นอับดับที่ 61 ของตลาด และเป็นอันดับ 5 ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สูงกว่าหุ้นอย่าง M เอ็มเคสุกี้ (15,498 ล้านบาท)เลยทีเดียวนะคะ ส่วนกำไร จะอยู่ในอันดับที่ 126 ของตลาด และเป็นอันดับ 11 ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สูงกว่าหุ้นอย่าง โออิชิ (887 ล้านบาท) หรือ เถ้าแก่น้อย (782 ล้านบาท)นั่นเองค่ะ
จะเห็นได้ว่า ตลาดเครื่องดื่มและขนมขบเคี้ยว นั้นไม่ว่าเป็นประเทศไหน ก็มีขนาดใหญ่ด้วยกันทั้งนั้นนะคะ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการบริโภคเป็นเรื่องปากท้องของผู้คนนั่นเองค่ะ…